ทุเรียนเป็นผลไม้ที่เกษตรกรนิยมปลูกกันมากขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศไทย เนื่องจากมีความต้องการบริโภคทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศในปริมาณมาก ดังนั้นการจัดการดูแลทุเรียนให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนจำเป็นต้องรู้ เพื่อให้มีการจัดการที่เหมาะสม
ปัญหาหนึ่งในการปลูกทุเรียน คือ แมลงศัตรูพืชที่ระบาดและเข้าทำลายทุเรียน แมลงศัตรูพืชบางชนิดทำให้ต้นทุเรียนตาย บางชนิดทำให้ผลผลิตลดลง และบางชนิดทำให้ผลผลิตไม่มีคุณภาพ หรือ ผลผลิตเสียหายจนนำไปขายไม่ได้
วันนี้มิสเตอร์คิว จึงขอพูดถึงแมลงศัตรูพืชที่สำคัญ 5 ชนิด ที่สร้างความเสียหายให้แก่ทุเรียน ได้แก่
1. เพลี้ยไฟ (Thrips)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Scirtothrips dorsalis Hood
ในทุเรียนสามารถพบเพลี้ยไฟหลายชนิดทำลายในระยะพัฒนาการต่างๆ แต่ที่พบมากและสำคัญที่สุด คือ เพลี้ยไฟพริก (Scirtothrips dorsalis Hood) เพลี้ยไฟจะระบาดรุนแรงในช่วงแล้งระหว่างเดือนธันวาคม–พฤษภาคม ซึ่งตรงกับระยะที่ต้นทุเรียน ออกดอกติดผล เพลี้ยไฟจะมีอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์สามารถเพิ่มปริมาณได้อย่างมาก
ลักษณะการเข้าทำลาย
ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงส่วนต่างๆ ของพืช มีผลทำให้ใบอ่อนหรือยอดอ่อนชะงักการเจริญเติบโต แคระแกร็น ใบโค้ง แห้ง หงิกงอ และไหม้การทำลาย ในช่วงดอก ทำให้ดอกแห้ง ดอกและก้านดอกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แคระแกร็น และร่วงได้และในช่วงผลอ่อน ทำให้ชะงักการเจริญเติบโต หนามเป็นแผลและเกิดอาการปลายหนามแห้งผลไม่สมบูรณ์และแคระแกร็น
รูปร่างลักษณะ
เพลี้ยไฟพริกมีลำตัวสีเหลือง หรือสีน้ำตาลอ่อน ขอบปีกมีเส้นขนเป็นแผง เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว มักอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ไข่มีขนาดเล็ก ลักษณะคล้ายเมล็ดถั่วสีขาว ฝังอยู่ในเนื้อเยื่อพืชบริเวณ ใกล้เส้นกลางใบ ตัวเมียวางไข่วันละ 2-3 ฟอง ระยะไข่ประมาณ 6-9 วัน ตัวอ่อนที่เพิ่งฟักใหม่มีสีเหลืองอ่อน ตัวอ่อนวัยที่สองมีสีเหลืองส้ม โดยมีระยะตัวอ่อนวัยแรก และวัยที่สองเฉลี่ย 4.3-5.7 วัน ดักแด้และระยะดักแด้ใช้เวลาเฉลี่ย 2.9-4.1 วัน และมีสัดส่วนของเพศเมียต่อเพศผู้เท่ากับ 4 : 1 สรุปไว้ว่า ระยะตัวอ่อน 6-7 วัน จึงเตรียมเข้าดักแด้1-2วัน และตัวเต็มวัยมีชีวิตอยู่ได้นานประมาณ 22 วัน ตัวเมียแต่ละตัววางไข่เฉลี่ย 60 ฟอง
พืชอาหาร
เพลี้ยไฟพริกระบาดทำลายไม้ผลได้หลายชนิดเช่น ทุเรียน มังคุด มะม่วงเงาะ ส้มโอส้มเขียว หวาน ลิ้นจี่และลำไย
ศัตรูธรรมชาติ
ศัตรูธรรมชาติของเพลี้ยไฟ เช่น แมงมุมชนิดต่างๆ ตัวอ่อนแมลงช้าง และเพลี้ยไฟตัวห้ำ
การป้องกันกำจัด
> เมื่อพบเพลี้ยไฟระบาดรุนแรงใช้สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดเพลี้ย ได้แก่ อิมิดาคลอพริด (imidacloprid)10% SL อัตรา 20 ซีซี หรือ ฟิโพลนิล (fipronil) 5% SC อัตรา 10 ซีซี หรือ ไทอะมีทอกแซม(thiamethoxam) 25% WG อัตรา 2-4 กรัม หรือ คาร์โบซัลแฟน (carbosulfan) 20% EC อัตรา 40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
> ไม่ควรใช้สารฆ่าแมลงชนิดใดชนิด หนึ่งซ้ำติดต่อกันหลายครั้ง เพราะทำให้เพลี้ยไฟสร้างความต้านทานต่อสารฆ่าแมลง
-----------------------------
2. เพลี้ยแป้ง (Mealybug)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Planococcus minor (Maskell)
Planococcus lilacinus (Cockerell)
Pseudococcus cryptus Hampel
เพลี้ยแป้งเป็นแมลงศัตรูพืชที่สำคัญ พบการระบาดทำความเสียหายต่อทุเรียนในแหล่งปลูกทั่วไป เพลี้ยแป้งจะระบาดทำความเสียหายแก่ผลทุเรียนตั้งแต่ระยะที่ทุเรียนเริ่มติดผล จนกระทั่งผลโต เต็มที่พร้อมที่จะเก็บเกี่ยว หรือ กลางเดือนกรกฎาคมสำหรับทุเรียนรุ่นหลัง
ลักษณะการเข้าทำลาย
เพลี้ยแป้งจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากบริเวณกิ่ง ช่อดอก ผลอ่อน ผลแก่ โดยมีมดแดง และมดดำช่วยคาบพาไปตามส่วนต่าง ๆ ของ พืชส่วนที่ถูกทำลายจะแคระแกร็น และชะงักการเจริญเติบโต นอกจากนี้เพลี้ยแป้งจะขับน้ำหวาน (honeydew) ออกมา เป็นเหตุให้ราดำเข้าทำลายซ้ำ ถ้าเพลี้ยแป้งเข้าทำลายทุเรียนผลเล็กจะทำให้ผลแคระแกร็น ไม่เจริญเติบโตต่อไป แต่ถ้าเป็นทุเรียนผลใหญ่จะไม่มีความเสียหายต่อเนื้อทุเรียน แต่ทำให้คุณภาพของผล ทุเรียนเสียไป ราคาผลผลิตต่ำ
รูปร่างลักษณะ
เพลี้ยแป้งเพศเมียมีขนาดลำตัวยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร มีสีเหลืองอ่อน หรือชมพูลักษณะอ้วนสั้น มีผงสีขาวคล้ายผงแป้งปกคลุมลำตัวอยู่ ไข่เป็นกลุ่ม จำนวนไข่แต่ละกลุ่ม 100-200 ฟอง เพศเมียตัวหนึ่ง สามารถวางไข่ได้600-800 ฟอง ในเวลา 14 วัน ไข่จะฟักอยู่ในถุงใต้ท้องเพศเมีย ระยะไข่ ประมาณ 6-10 วัน ส่วนเพศเมียเมื่อหยุดไข่ก็จะตายไป ตัวอ่อนที่ฟักออกจากไข่ใหม่ๆ มีสีเหลืองอ่อน ไม่มีผงสีขาว ตัวอ่อนจะ คลานออกจากกลุ่มไข่เพื่อหาที่ๆ เหมาะสมเพื่ออยู่อาศัย เพศเมียมีการลอกคราบ 3 ครั้ง และไม่มีปีก ส่วนเพศผู้ ลอกคราบ 4 ครั้ง มีปีกและมีขนาดเล็กกว่าเพศเมีย เพศเมียจะวางไข่หลังการลอกคราบครั้งที่ 3 เพลี้ยแป้ง สามารถขยายพันธุ์ได้2-3 รุ่น ใน 1 ปี ในระยะที่พืชอาหารไม่เหมาะสม เพลี้ยแป้งอาศัยอยู่ใต้ดินตามรากพืช เช่น หญ้าแห้วหมูโดยมีมดที่อาศัยกินสิ่งที่ขับถ่ายของเพลี้ยแป้งเป็นตัวพาไปอาศัยตามส่วนต่างๆ ของต้นทุเรียน
พืชอาหาร ทุเรียน มังคุด เงาะ และ สับปะรด
ศัตรูธรรมชาติ
พบด้วงเต่าในวงศ์Coccinellidae เป็นแมลงห้ำ 3 ชนิด คือ Cryptolaemus montrouzieri, Scymnus sp. และ Nephus sp.
การป้องกันกำจัด
> เมื่อพบเพลี้ยแป้งปริมาณน้อยบนผลทุเรียนใช้แปลงปัด หรือใช้น้ำพ่นให้เพลี้ยแป้งหลุด
> เนื่องจากเพลี้ยแป้งแพร่ระบาดโดยมีมดพาไป การป้องกันโดยใช้ผ้าชุบสารฆ่าแมลง เช่น เมลาไทออน (malathion 83% EC) อัตรา20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คาร์บาริล (carbaryl 85% WP) อัตรา10 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร พันไว้ตามกิ่งสามารถป้องกันไม่ให้มดคาบเพลี้ยแป้งไปยังส่วนต่าง ๆ ของทุเรียน และต้องชุบสารฆ่าแมลงซ้ำทุก 10 วัน หรือการพ่นสารฆ่าแมลงไปที่โคนต้น จะช่วยป้องกันมด และลดการเข้าทำลายของเพลี้ยแป้งได้มาก
> สารฆ่าแมลงที่ได้ผลในการควบคุมเพลี้ยแป้ง คือ ไทอะมีทอกแซม(thiamethoxam) 25% WG อัตรา 2-4 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร โดยพ่นสารเฉพาะต้นที่พบเพลี้ยแป้งทำลาย
-----------------------------
3. หนอนเจาะผล (Fruit Borer)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Conogethes punctiferalis Guenee
ลักษณะการเข้าทำลาย
หนอนเจาะผลเป็นศัตรูทุเรียนที่สำคัญพบระบาดทั่วไปในแหล่งปลูกทุเรียนทั่วประเทศ หนอนเจาะ ผลจะเข้าทำลายทุเรียนได้ตั้งแต่ผลยังเล็ก อายุประมาณ 2 เดือน ไปจนถึงผลโตเต็มที่พร้อมที่จะเก็บเกี่ยว ทำ ให้ผลเป็นแผล อาจทำให้ผลเน่าและร่วงเนื่องจากเชื้อราเข้าทำลายซ้ำ การที่ผลมีรอยแมลงทำลายทำให้ขาย ไม่ได้ราคา ถ้าหากหนอนเจาะกินเข้าไปจนถึงเนื้อผล ทำให้บริเวณดังกล่าวเน่าเมื่อผลสุก ที่บริเวณเปลือกของ ผลทุเรียนจะสังเกตเห็นมูลและรังของหนอนได้อย่างชัดเจน และจะมีน้ำไหลเยิ้มเมื่อทุเรียนใกล้แก่ ผลทุเรียน ที่อยู่ชิดติดกันหนอนจะเข้าทำลายมากกว่าผลที่อยู่เดี่ยวๆ เพราะแม่ผีเสื้อชอบวางไข่ในบริเวณรอยสัมผัสนี้
รูปร่างลักษณะ
ตัวเต็มวัยของหนอนเจาะผลเป็นผีเสื้อกลางคืนขนาดค่อนข้างเล็ก ปีกทั้งคู่มีสีเหลืองถึงส้ม มีจุดสีดำกระจายอยู่ทั่วปีก วางไข่ไว้บนเปลือกผลทุเรียน ระยะไข่ 4 วันหนอนวัยแรกมีสีขาว หัวสีน้ำตาล แทะกินผิวทุเรียนก่อน เมื่อโตขึ้นจึงเจาะกินเข้าไปในเปลือกผลทุเรียน ตัวหนอนวัยต่อมามีลักษณะสีน้ำตาลอ่อน และมีจุดสีน้ำตาลเข้มประอยู่บริเวณหลังตลอดลำตัว และมีหัว สีน้ำตาลเข้ม หนอนจะเข้าดักแด้อยู่ระหว่างหนามของผลทุเรียนโดยมีใย และมูลของหนอนหุ้มตัว ระยะหนอน 12-13 วัน ระยะดักแด้ 7-9 วัน ระยะตัวเต็มวัยเพศผู้ 10-18 วัน และเพศเมีย 14-18 วัน
พืชอาหาร
แมลงชนิดนี้พบทั่วไปตลอดทั้งปีเนื่องจากมีพืชอาศัยกว้าง นอกจากทุเรียนแล้วมีรายงานว่า หนอน ชนิดนี้ทำลายผลไม้ชนิดอื่น เช่น มะหวด ลำไย ลิ้นจี่ เงาะ ทับทิม ละหุ่ง หม่อน และโกโก้
ศัตรูธรรมชาติ แตนเบียน Apanteles sp.
การป้องกันกำจัด
> ตัดแต่งผลทุเรียนที่มีจำนวนมากเกินไป โดยเฉพาะผลที่อยู่ติดกันควรใช้กิ่งไม้หรือกาบมะพร้าว ขั้นระหว่างผล เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเต็มวัยวางไข่ หรือตัวหนอนเข้าหลบอาศัย
> การห่อผลด้วยถุงมุ้งไนล่อน ถุงรีเมย์หรือถุงพลาสติกสีขาวขุ่นเจาะรูที่บริเวณขอบล่าง เพื่อให้หยด น้ำระบายออก โดยเริ่มห่อผลตั้งแต่ผลทุเรียนมีอายุ 6 สัปดาห์เป็นต้นไปจะช่วยลดความเสียหายได้
> สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพเมื่อจำเป็นต้องใช้คือ แลมบ์ดาไซฮาโลทริน (lambdacyhalothrin) 2.5 % EC อัตรา 20 ซีซี ฉีดพ่นในช่วงผลทุเรียนอายุ 6-10 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือพ่นเฉพาะส่วนผลทุเรียนที่พบการทำลายของหนอนเจาะผล
-----------------------------
4. ไรแดงแอฟริกัน (African red mite)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Eutetranychus africanus (Tucker)
ไรแดง ระบาดในระยะที่ฝนเริ่มทิ้งช่วง อากาศแห้งแล้งและมีลมพัดแรง จะพบไรแดงสูงที่สุดในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม จากนั้นไรแดงจะค่อยๆ ลดลง ปริมาณอาจสูงขึ้นอีกในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ซึ่งแล้งจัด และพบระบาดน้อยมากในช่วงฤดูฝน
ลักษณะการเข้าทำลาย
ไรแดงทุเรียนดูดกินน้ำเลี้ยงอยู่บริเวณผิวใบทุเรียน ทำให้เกิดเป็นจุดปะ สีขาวกระจายอยู่ทั่วบนใบ ต่อมาจุด ปะสีขาวจะแผ่ขยายออกไปเป็นบริเวณกว้าง จนใบมีอาการขาวซีดและมีคราบสีขาวเกาะติดเป็นผงขาวๆ คล้ายฝุ่นจับ ถ้าหากมีไรแดงทำลายเป็นปริมาณมากและต่อเนื่องจะทำให้ใบร่วงและมีผลกระทบต่อการออกดอกและติดผลของทุเรียน ต้นทุเรียนจะเกิดความเสียหายจากไรแดงเมื่อใบแก่ถูกทำลายมากกว่าร้อยละ 25 ของใบที่สำรวจ
ศัตรูธรรมชาติ
ไรตัวห้ำ Amblyseius sp., แมลงวันขายาว Dolichopus sp., แมลงช้างปีกแป้ง Coniopteryx sp., ด้วงเต่า Stethorus sp., ด้วงคล้ายมด Anthecus sp., เพลี้ยไฟตัวห้ำ Unidentified sp., แมงมุม Uroboridae
การป้องกันกำจัด
> หลีกเลี่ยงการปลูกพืชอาศัยของไรแดงแอฟริกันในสวนทุเรียนหรือบริเวณใกล้เคียง ถ้าเกษตรกรมีรายได้ จากพืชเหล่านั้น เช่น ส้ม มะละกอ มะนาว หรือพืชตระกูลถั่ว ก็ควรป้องกันกำจัดไรแดงชนิดนี้บนพืชอาศัยนั้นด้วย
> ใช้ระบบน้ำเหวี่ยงหรือเครื่องฉีดพ่นน้ า 1 - 2 ชั่วโมงต่อวัน ให้ใบทุเรียนเปียกโชกทั่วทรงพุ่มเพื่อลดปริมาณ ไรแดงในช่วงฤดูแล้งให้อยู่ในระดับต่ำ (วิธีนี้จะช่วยเพิ่มความชื้นให้กับศัตรูธรรมชาติให้ สามารถดำรงชีวิตอยู่และเพิ่มปริมาณสูงขึ้นในช่วงแล้ง ซึ่งจะควบคุมประชากรของไรแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพ)
> สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพเมื่อจำเป็นต้องใช้คือ เฟนไพรอกซิเมต 5% W/V SC อัตรา 10-20 ซีซี ต่อนำ้ 20 ลิตร ฉีดพ่นทั้งต้นโดยเฉพาะบริเวณยอดเมื่อพบไรแดงระบาด พ่นซ้ำตามความจำเป็น และงดพ่นก่อนเก็บเกี่ยว 14 วัน ไม่ควรใช้สารเคมีชนิดเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรมีการสลับชนิดเพื่อป้องกันไรแดงเกิดความต้านทาน
-----------------------------
5. เพลี้ยหอยเกล็ดทุเรียน (Durian Armored scale) หรือเพลี้ยนาสาร
ชื่อวิทยาศาสตร์ Aulacaspis vitis
ลักษณะการเข้าทำลาย
เพลี้ยหอยเกล็ดทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัย จะดูดกินน้ำเลี้ยงส่วนต่างๆ ของพืช เช่น ใบ ยอด ตา กิ่ง และขั้วผล เมื่อมีการระบาดรุนแรงจะทำให้ส่วนต่างๆ ของพืช เหลืองหรือแห้งตาย การระบาดของเพลี้ยหอยเกล็ดทุเรียน มักจะมีการระบาดเป็นกลุ่มๆ เนื่องจากแมลงชนิดนี้จะเคลื่อนที่ได้เฉพาะระยะตัวอ่อนวัยที่ 1 (Crawler) เท่านั้น เมื่อมีการลอกคราบเพื่อเจริญเติบโตไปสู่วัยต่างๆ โดยคราบเก่าจะอยู่ด้านข้างของแผ่นปกคลุมลำตัวซึงจะขยายขนาดใหญ่ออกเรื่อยๆ ตามระยะการเจริญเติบโต ดังนั้นเมื่อเพลี้ยหอยเกล็ดระบาดปกคลุมทั่วทั้งใบ จะทำให้พืชไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้
การป้องกันกำจัด
> เมื่อพบเพลี้ยหอยเกล็ดทุเรียนปริมาณน้อยบนใบใช้นำ้าผสม white oil อัตรา 20 ซีซ๊ ต่อนำ้ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วช่วยในการกำาจัดเพลี้ยหอยเกล็ดได้ดี
> การกำจัดเพลี้ยหอยเกล็ดโดยสารเคมี ต้นทุเรียนที่พบการระบาดมากถ้าขนาดไม่ใหญ่มาก (สูงไม่เกิน 3 เมตร) โรยโคนต้นด้วยไดโนทีฟูแรน 1%G แล้วรดน้ำ อัตรา 10-20 กรัมต่อต้น ห่างกัน 2-3 อาทิตย์ หรือใช้อิมิดาคลอพริด (imidacloprid)10% SL อัตรา 20 ซีซี หรือ ไทอะมีทอกแซม(thiamethoxam) 25% WG อัตรา 2-4 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร รดโคนต้นทุก 2 อาทิตย์ กรณีพ่นทางใบของกรมวิชาการเกษตรพ่นด้วยสารกลุ่ม 1 คือ มาลาไทออน 83%EC อัตรา 30 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร และไทอะมีทอกแซม 25%WG ผสมน้ำอัตรา 2.5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
-----------------------------
ข้อมูลอ้างอิงจาก
: https://www.doa.go.th/share/attachment.php?aid=2977
: https://kasetgo.com/t/topic/209904