Top
รู้ไหมว่าเชื้อ "บีที" คืออะไร

บีที (BT) คืออะไร

บีที คือ สารชีวินทรีย์ควบคุมแมลงศัตรูพืช โดย บีที เป็นเชื้อแบคทีเรียที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จัดเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการกำจัดด้วงหมัดผัก และหนอนต่างๆ 
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bacillus thuringiensis หรือเรียกสั้นๆ ว่า บีที (BT) 

เชื้อบีทีได้มีการนำมาใช้ในการกำจัดด้วงหมัดผัก และหนอนที่เป็นศัตรูพืชในประเทศไทยมานานหลายปี และในปัจจุบันยิ่งได้รับความนิยมในวงการเกษตรโดยเฉพาะการทำการเกษตรอินทรีย์ที่หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี ซึ่งจุดเด่นของเชื้อบีที เป็นจุลินทรีย์ที่มีความเฉพาะเจาะจงสูงในการทำลายแมลงเป้าหมาย เช่น ด้วงหมัดผัก หนอนใยผัก หนอนคืบ หนอนกะหล่ำ หนอนกระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนใบแปะ ดังนั้นเชื้อบีทีจึงมีความปลอดภัยสูงต่อมนุษย์ สัตว์เลือดอุ่น ปลา และนก รวมทั้งแมลงที่มีประโยชน์ เช่น ผึ้ง แมลงห้ำ แมลงเบียน 

บีทีแตกต่างจากสารเคมีกำจัดแมลงอย่างไร?
บีทีแตกต่างจากสารเคมีกำจัดแมลง ตรงที่สารเคมีกำจัดแมลงมีทั้งประเภทชนิดสัมผัสตาย และประเภทชนิดดูดซึม แต่บีที หนอนต้องกินเข้าไปเท่านั้นถึงจะตาย เพราะเชื้อบีทีเป็นแบคทีเรียที่สามามรถสร้างสปอร์และผลึกโปรตีนที่มีสารพิษภายในเซลล์ของตัวมันเอง โดยสารพิษนี้ถูกเรียกว่า เดลต้า เอ็นโดท็อกซิน (delta endotoxin) มีรูปร่างเป็นผลึกคล้ายขนมเปียกปูนหรือรูปสีเหลี่ยม ขบวนการสร้างสารพิษนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการสร้างสปอร์ หลังจากเซลล์สร้างสปอร์และสารพิษเรียบร้อยแล้ว เซลล์จะแตกสปอร์และสารพิษหลุดออกจากเซลล์ ซึ่งเมื่อแมลง/หนอนกินบีทีเข้าไป ตัวสารพิษจะเข้าไปทำปฏิกริยากับน้ำย่อยในกระเพาะของแมลง ทำให้เกิดฤทธิ์ในการทำลายเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารและระบบทางเดินอาหารของแมลงถูกทำลาย ระดับความเป็นกรด-ด่างภายในตัวของแมลงเปลี่ยนไปส่งผลให้หนอนเป็นอัมพาตหรือเคลื่อนไหวช้าลง ไม่สามารถกินอาหารได้ และหนอนจะตายภายใน 2-3 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของแมลง/หนอนและปริมาณเชื้อที่กินเข้าไป

ลักษณะอาการของแมลงที่ได้รับเชื้อบีที
• หยุดกินอาหาร
• เคลื่อนไหวช้า
• โลหิตเป็นพิษ ชักกระตุก และเป็นอัมพาตทั่วทั้งตัว
• ตาย และหลังจากตาย ซากของหนอนจะยังคงรูปตามเดิมแต่เปลี่ยนสีจากสีเดิมเป็นสีน้ำตาลเข้มและดำ

ชนิดของบีทีที่ใช้กันในปัจจุบันในการควบคุมด้วงหมัดผัก และหนอนต่างๆ มี 3 ชนิด คือ
1. Bacillus thuringiensis subsp. kurstaki
2. Bacillus thuringiensis subsp. aizawai
3. Bacillus thuringiensis subsp. tenebrionis

> บีที ชนิดแรกใช้สำหรับควบคุมแมลงในอันดับ Lepidoptera เช่น หนอนใยผัก หนอนกระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนกินใบสนสามใบ หนอนแปะใบ หนอนคืบกะหล่ำ หนอนกระทู้ผัก หนอนร่านกินใบปาล์ม หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด หนอนแก้วส้ม หนอนหัวดำมะพร้าว 
> ส่วนชนิดที่ 
ใช้สำหรับควบคุมแมลงในอันดับ Coleoptera เช่น ด้วงหมัดผัก เป็นต้น

ข้อดีของการใช้เชื้อบีที

1. ปลอดภัยต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม ไม่เป็นอันตรายต่อแมลงที่มีประโยชน์ เช่น ผึ้ง แมลงห้ำ แมลงเบียน
2. ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ไม่มีฤทธิ์ตกค้างเมื่อนำมาใช้ในพืชผัก หลังจากเก็บผลผลิตแล้วสามารถนำมาล้างทำความสะอาดแล้วนำไปรับประทานได้ทันที
3. แมลงสร้างความต้านทานต่อเชื้อบีทีได้ช้ากว่าสารเคมีกำจัดแมลง
4. สามารถนำไปใช้ร่วมกับวิธีป้องกันกำจัดวิธีการอื่นๆ ได้ หรือสามารถนำไปทดแทนการใช้สารเคมีกำจัดแมลงในแหล่งที่มีปัญหาแมลงศัตรูพืชดื้อสารเคมีได้เป็นอย่างดี

ข้อจำกัดของเชื้อบีที
1. แมลงต้องกินเชื้อเข้าไปเท่านั้น เชื้อจึงจะออกฤทธิ์ได้
2. มีความเฉพาะเจาะจงต่อแมลงแต่ละชนิด
3. ความร้อนและแสงแดดมีส่วนช่วยลดประสิทธิภาพของเชื้อ ต้องเก็บรักษาผลิตภัณฑ์บีทีไม่ให้ถูกแสงแดดและต้องเลือกช่วงเวลาพ่นให้เหมาะสม

วิธีการใช้เชื้อบีที ที่เหมาะสม
1. อ่านฉลากข้างภาชนะบรรจุบีทีให้เข้าใจก่อนนำไปใช้ เพื่อให้ทราบว่าเชื้อบีทีชนิดนี้สามารถควบคุมแมลงศัตรูพืชชนิดใดได้บ้าง 
2. ควรพ่นบีทีในช่วงที่สภาพอากาศไม่ร้อนจัด อาจจะทำการฉีดพ่นช่วงหลังบ่ายสามโมง เพราะเชื้อบีที จะตายโดยรังสีอัลตร้าไวโอเลต (UV) จากแสงแดด 
3. แมลงต้องกินเชื้อบีที ถึงจะตาย ดังนั้นควรฉีดพ่นบีทีครอบคลุมบริเวณส่วนล่างของใบผักด้วย จึงจะสามารถกำจัดหนอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. ควรผสมเชื้อบีทีกับน้ำจำนวนน้อยๆ ให้เข้ากันก่อนจึงค่อยเทใส่ถังน้ำที่เตรียมไว้ และไม่ควรปล่อยให้สารละลายที่ฉีดพ่นอยู่ในถังนานเกิน 12 ชั่วโมง เพราะประสิทธิภาพของเชื้อจะลดลง
5. ควรผสมสารจับใบในการพ่นเชื้อบีทีทุกครั้งตามอัตราแนะนำการใช้ในฉลาก
6. การป้องกันกำจัดจะได้ผลดีควรทำในระยะแรกที่พบหนอนตัวเล็ก ซึ่งเป็นหนอนวัยแรกๆ (วัย 1-3 วัน) 
7. ไม่ควรผสมเชื้อบีทีกับสารป้องกันกำจัดโรคพืช เนื่องจากสารป้องกันกำจัดโรคพืชบางชนิดอาจทำให้เชื้อบีทีเสี่อมประสิทธิภาพได้
8. เนื่องจากเชื้อบีที ใช้เวลา 2-3 วันในการออกฤทธิ์ที่ทำให้แมลงตาย ดังนั้น การใช้อัตราสูงกว่าคำแนะนำไม่ได้ช่วยให้แมลงตายเร็วขึ้น จึงควรใช้เชือบีทีตามอัตราที่แนะนำ
9. เมื่อพบการระบาดรุนแรง ควรพ่นเชื้อบีทีตามอัตราที่แนะนำ โดยพ่นติดต่อกัน 3 ครั้ง ระยะห่าง 3-4 วัน จะช่วยควบคุมการระบาดของแมลงได้ดีกว่าการฉีดพ่นครั้งเดียว
--------------------

บาเซียโน เอชซี

ชื่อสามัญ : บาซิลลัส ทูริงเยนซีส (Bacillus thuringiensis)

สารสำคัญ : Bacillus thuringiensis subsp.aizawai 50,000 IU/mg WP

กลุ่มสาร : Bacillus thuringiensis and the insecticidal proteins they produce (11A) 

ลักษณะสาร ผงสีน้ำตาลเข้ม

คุณสมบัติ

• บาเซียโน เอชซี - บาซิลลัส ทูริงเยนซิส (Bacillus thuringiensis subsp. aizawai 50,000 IU/mg WP) หรือบี.ที. ได้รับการขึ้นทะเบียนถูกต้องจากกรมวิชาการเกษตรเป็นเทคโนโลยีที่นำแบคทีเรียมากำจัดหนอนต่างๆ เช่น หนอนใยผัก, หนอนกระทู้ผัก, หนอนคืบกะหล่ำ ที่เป็นศตรูพืชอย่างมีประสิทธิภาพ

• ไม่เป็นพิษกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

• คุณสมบัติที่สำคัญ คือ เชื้อบี.ที. สามารถสร้างผลึกโปรตีนที่เรียกว่า เดลต้าเอนโดท๊อกซิน (Delta-endotoxins) เมื่อหนอนกินเชื้อบีทีเข้าไป ผลึกโปรตีนจะไปทำลายระบบย่อยอาหาร หนอนจะหยุดกินอาหาร เคลื่อนไหวช้าลง และตายภายใน 3 วัน

คำแนะนำเพิ่มเติม: 
✅ ควรใช้ "บาเซียโน เอชซี" อัตรา 20-40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทางใบ
✅ ควรฉีดพ่นในช่วงเย็นที่แสงแดดไม่ร้อนเกินไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้เชื้อบีที แนะนำให้ผสมร่วมกับ "ฟิกเซอร์408" เพื่อให้สารเกาะติดที่ใบและลำต้นได้ดียิ่งขึ้น
✅ หลังจากผสม "บาเซียโน เอชซี" กับน้ำสะอาด ควรพักไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมงก่อนฉีดพ่น เพื่อให้เชื้อบีที ขยายตัว และเตรียมพร้อมในการเข้ากำจัดหนอน
✅ ควรใช้ต่อเนื่องติดต่อกัน 3-5 วัน/ครั้ง ในกรณี่ที่มีการระบาดของหนอนรุนแรง
✅ หลีกเลี่ยงการผสม"บาเซียโน เอชซี" กับสารเคมีที่มีสารออกฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรีย เช่น สารปฎิชีวนะ, ทองแดง, คอปเปอร์, คลอไรด์ เป็นต้น
✅ หลีกเลี่ยงการใช้ “บาเซียโน เอชซี” ใกล้พื้นที่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม

 

เหมาะสำหรับ : ใช้ได้กับ ไม้ผล พืชผัก ไม้ดอก ไม้ประดับ 

อัตราใช้แนะนำ : 20-40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร






บทความที่เกี่ยวข้อง
การใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างถูกต้องและปลอดภัย
อาการขาดธาตุอาหารของพืช
ข้อมูลแถบสีบนฉลากสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช
ข้อแตกต่างระหว่างหนอนผีเสื้อ VS หนอนแมลงวัน ชอนใบในมะเขือเทศ
โรคใบด่างจุดวงแหวนในมะละกอ
ผังแสดงตารางการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชบางชนิด
การระบาดของศัตรูพืชช่วงหน้าร้อน
น้ำตาลทางด่วน VS กรดอะมิโน
การปลูกพืชใช้ดินอะไรดี
โรคยอดฮิตในมะละกอ
แนวทางการทำเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง
เพลี้ยไก่แจ้ทุเรียน
เพลี้ยไก่แจ้ส้ม และการป้องกัน
7 วิธีดูแลรักษาไม้ผลในช่วงแล้ง
โรคพืชที่มีสาเหตุมาจากไวรัสในพริก
การตรวจวิเคราะห์ดิน
มารู้จักกับหนอนชอนใบผีเสื้อมะเขือเทศ
โรคราแป้งในเงาะ
น้ำฝนต่อการเจริญเติบโตของพืช
การดูแลผักในฤดูฝน
ทุเรียนเต่าเผา ทุเรียนไส้ซึม
แต่ละภาค...ปลูกอะไรดี?
โรคเมลาโนสในส้ม
การฉีดพ่นสารทางใบให้ถูกวิธี
การฝังเข็มรักษาโรครากเน่าโคนเน่าอย่างไรให้ได้ผล
เพลี้ยหอยในส้ม
เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน
โรคใบจุดสาหร่ายในทุเรียน
โรคใบจุดตากบในพริก
โครงการแก้มลิง
7 วิธีกำจัดหอยทากอย่างปลอดภัย
หนอนม้วนใบส้ม (Citrus leaf-roller)
5 เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับกระท่อม
การดูแลต้นไม้หลังน้ำลด
ระวัง ไรขาวและโรคกุ้งแห้งระบาดในพริก
โรคกิ่งแห้งทุเรียน จากเชื้อฟิวซาเรียม
โรคราสีชมพูในทุเรียน
หนอนหน้าแมวศัตรูต้วร้ายปาล์มน้ำมัน
โรคเน่าคอดินในผักกินใบ
แมลงศัตรูพืชที่ระบาดในหน้าหนาว
โรคพืชที่ต้องระวังในฤดูหนาว
3 ตัวห้ำ แมลงดีในแปลงเกษตร
ธาตุรอง และ จุลธาตุ ธาตุอาหารสำคัญที่พืชขาดไม่ได้
แมลงศัตรูพืชที่สำคัญในทุเรียน
โรคพืชในทุเรียน
ปลูกมังคุดต้องระวัง (โรคและแมลง) อะไรบ้าง
การใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ
8 เทคนิคการจัดการปุ๋ย
มาทำความรู้จัก ปุ๋ยไนโตรเจนกันเถอะ
โรคและแมลงศัตรูพืชยอดฮิตในพริก
วิธีการดูทุเรียนสุก
โรคและแมลงศัตรูพืชที่พบบ่อยในผักตระกูลกะหล่ำ
การขาดธาตุแมงกานีสในทุเรียน
แมลงและโรคพืชที่ต้องระวังในส้ม
6 เรื่อง...ที่ต้องรู้ก่อนซื้อสารกำจัดศัตรูพืช
อาการ...ขาดธาตุโบรอน ในปาล์มน้ำมัน
อาการขาดธาตุสังกะสี
อาการขาดธาตุแมกนีเซียมในปาล์มน้ำมัน
โรคใบติดทุเรียน ภัยร้าย ทำลายพืช !!
วิธีการฟื้นฟู และดูแลต้นไม้หลังน้ำลด
สีของดินบอกอะไรบ้าง?
4 หลักการใส่ปุ๋ยเคมีให้คุ้มค่า
มารู้จัก แมลงศัตรูพืช กันเถอะ
ประโยชน์ของธาตุแคลเซียมที่มีต่อพืช
การดูแล "ผักสลัด" ในหน้าร้อน ทั้งในและนอกโรงเรือน
5 แมลงศัตรูพืชที่สำคัญในส้ม
บำรุงดินด้วยวิธีธรรมชาติ เคล็ดดลับดูแลต้นไม้แบบประหยัด
ปัญหาพืชหน้าฝน โรครากเน่า โคนเน่า
โรคร้ายทำลายข้าว
อาหารทางใบฉีดพ่นยังไงให้ได้ผล
สารกำจัดศัตรูพืช ยาร้อน ยาเย็น ดูอย่างไร?
โรคพืชที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
โรคพืชในส้มที่ควรระวัง